ลูกทุ่ง

ลูกทุ่ง

วันพุธที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

เพลงอีแซว จังหวัดสุพรรณบุรี




เพลงอีแซว

    ประวัติความเป็นมาของเพลงอีแซว


     โดยท่านอาจารย์ชำเลือง ได้เล่าประวัติความเป็นมาของเพลงอีแซวจากการที่ได้ฟังมาจากการเล่าของป้าอ้น  จันทร์สว่างอีกทีหนึ่งว่าสมัยก่อนนั้นนักเพลงจะเดินทางไปนมัสการหลวงพ่อโตวัดป่าเลไลยก์โดยวิธีการเดินเท้า โดยป้าอ้นเดินจากหนองแขมไปวัดป้าเลไลยก์ เดินกันไปหลายคน โดยระหว่างทางก็จะร้องรำทำเพลงกันไปตลอดทางเพื่อไม่ให้เงียบเหงา บางครั้งก็จะนั่งพักใต้โคนต้นไม้หรือร้องเพลงใต้โคนต้นไม้ ในสมัยนั้นไม่มีใครรู้เลยว่าเพลงที่พวกเขาเล่นนั้นคือเพลงอะไร ร้องไปปรบมือไป เอาไม้เคาะ ร้องแบบนั้นจนกระทั้งถึงวัดป่าเลไลยก์ เมื่อถึงวัดป่าก็แยกย้ายพักผ่อนรอให้ถึงเวลางานปิดทองหลวงพ่อโตวัดป้าเลไลยก์นั้นคือตอนพลบค่ำ เมื่อถึงเวลาจึงไปปิดทองหลวงพ่อโต ชมมหรสพต่าง ๆ เมื่อสิ้นสุดมหรสพ ก็ไม่สามารถที่จะเดินทางกลับบ้านได้เพราะมืด และมองทางไม่สะดวก จึงชวนกันมาเล่นเพลง ณ ลานโพธิ์หน้าวิหารหลวงพ่อโตวัดป่าเลไลยก์ เนื่องจากเพลงที่เล่นผู้ชายมักจะกระเส่าเย้าแหย่ฝ่ายหญิง ชวนฝ่ายหญิงมาร้องมาเล่นด้วย โดยการร้องแก้กัน จีบกัน เมื่อผู้ชายร้องนาน ๆ ฝ่ายหญิงจึงถามว่าทำไมถึงมาแซวฉัน ไปๆมาๆจึงเรียกกันว่า เพลงอีแซว เหมือนกับฝนที่ตกลงมาน้อย ๆ แต่ตกนาน ร้องกันใช้เวลานานโดยร้องกันตั้งแต่เที่ยงคืนจนถึงสว่าง บางคนก็เรียกว่าเพลงอีแซว บางคนก็เรียกเพลงแคนเพราะฝ่ายชายจะร้องแซวฝ่ายหญิง ฝ่ายหญิงร้องแซวฝ่ายชาย จึงทำให้ทราบได้ว่าเพลงอีแซวมีต้นกำเนิดมาจากวัดป่าเลไลยก์ โดยกำเนินมาประมาณ 170 ปีจากการเล่าให้ฟังของป้าอ้น พบว่าต้นกำเนิดของเพลงอีแซวนั้นมาจากจังหวัดสุพรรณบุรี ต่อมาเพลงอีแซวจึงกระจายออกไปในอำเภอต่าง ๆ จังหวัดอ่างทองก็เล่นเพลงอีแซวเป็น บางลีอยู่ใกล้กับบางเลน บางเลนก็เล่นเพลงอีแซวได้ โดยรอบ ๆ สุพรรณจะเล่นเพลงอีแซวได้ทั่วจังหวัดสุพรรณบุรีทำให้ร้องกันได้ทุกอำเภอ 

    รูปแบบการร้องเพลงอีแซว

     ท่านอาจารย์ชำเลืองได้เล่าว่าในตอนที่ฝึกเพลงอีแซวกับป้าอ้นในตอนนั้นส่วนใหญ่วิธีการฝึกเพลงอีแซวต้องใช้วิธีจำเป็นหลักเพราะในสมัยนั้นไม่มีตำราที่จะมานั่งอ่านแล้วสามารถร้องได้เลย โดยการหัดป้าอ้นจะอยู่ด้านหลังแล้วท่านอาจารย์ชำเลืองจะอยู่ด้านหน้า โดยท่านอาจารย์ชำเลืองต้องยกข้อมือขึ้นเหมือนการรำทั้งสองข้าง แล้วป้าอ้นจะจับขอมือไว้ เมื่อป้าร้องเพลงอีแซว ให้ร้องตามที่ป้าอ้นท่านสอน เพื่อเป็นการครอบครู หากร้องไม่ได้หรือติดขัดก็ไม่สามารถครอบครูได้ จึงต้องหยุดทันทีแล้วจึงจะทำใหม่ได้ในวันถัดไป ในการหัดนั้นก่อนร้องจะต้องมีการร้องคำว่า เอ้ย แล้วรากยาว ๆ หรือเรียกกันว่าการ เกริ่นสั้น เมื่อเกรินสั้นได้แล้วก็ฝึกการเกรินยาวโดยการเกริ่นยาวมีดังนี้ เออ เอ้อ เอ๊อ ...เอ่อ เอิง เง้อ...เอ่อ เอิ้ง เงย แล้วก็ร้องไปตามที่เนื้อตัวเองได้ท่องไว้ดังตัวอย่าง “บรรจงจีบสิบนิ้ว  ขึ้นหว่างคิ้วทั้งคู่”เมื่อร้องจบหนึ่งท่อนจะต้องมีลูกคู่มารับว่า เอิง เงอ เอ้ย แล้วทั้งคู่ ต่อท่อนสองคือ “เชิญรับฟังกระทู้ เอ๋ยแล้วเพลงไทย”ลูกคู่ก็จะรับต่อว่า “เอ่ง เอ้อ เอ๊อ แล้วเพลงไทย” โดยลูกคู่นั้นมีหน้าที่ร้องรับเวลาลงเพลง จะร้องซ้ำ 3 คำสุดท้าย หากคำร้องไม่ครบให้ใส่คำว่า “แล้ว หรือ ว่า”เพิ่มเข้าไปหลังคำเอื้อนเสียงลงเพลงเช่น “ถ้าขาดผู้ส่งเสริม  เพลงไทยเดิมคงสูญ เอิง เงอ เอ้ย แล้วคงสูญ ถ้าพ่อแม่เกื้อกูล  ลูกก็อุ่นหัวใจ เออ เอ้อ เอ๊ย อุ่นหัวใจ” จึงเห็นได้ว่าการฝึกเพลงอีแซวนั้นต้องฝึกกันในรูปแบบ คำต่อคำปากต่อปาก เมื่ออาจารย์ชำเลืองเก่ง และร้องได้ดีแล้วนั้นป้าอ้นก็จะพาไปออกงานโดยส่วนใหญ่เพลงอีแซวจะเล่นโดยการท่องเนื้อร้อง แต่ท่านอาจารย์ชำเลืองนั้นจะไม่ท่องเนื้อร้องเพลงท่านอาจารย์ชำเลืองท่องไม่ได้ แต่ท่านสามารถร้องสด หรือเรียกอีกอย่างว่า การด้นสน คือการร้องโดยนึกคำเดียวนั้น และร้องเดียวนั้น

    ลักษณะของบทร้องเพลงอีแซว

 

     คำประพันธ์ในบทเพลงอีแซว ในสมัยก่อนนั้นเค้าเรียกกันว่า กลอนสระเดียว หากร้องสระอะไรไว้ ก็ต้องลงสระนั้น เช่น “นนทวัชร์ไปไหนทำไมไม่เห็นกลับมา  ไม่เห็นมาตั้งนานทำไมไม่ผ่านบ้านครู  หรือว่าเธอไม่รู้ว่าบ้านครูอยู่ป่า” โดยต้องลงสระอาคำเดียว ต่อมานักวิชาการจึงได้เรียกใหม่ว่า กลอนหัวเดียว โดยหัวต้องอยู่ต้น และหางอยู่ปลาย แต่ครูเพลงแต่เก่าก็ยังคงเรียกกันว่า กลอนหัวเดียว โดยจะแบ่งเป็นวรรคหน้าแปดคำ วรรคหลังแปดคำ 

 

    ลักษณะโครงสร้างคำปรพันธ์

 

     คำประพันธ์ (ฉันทลักษณ์ในบทเพลงอีแซว เป็นกลอนหัวเดียวคล้ายกับเพลงฉ่อย หรือเพลงเรือ ต่างกันที่ทำนองและการรับของลูกคู่ซึ่งจะร้องรับโดยร้องซ้ำ คำท้าย และมีบทร้องรับของลูกคู่เมื่อตอนจบ ถ้านำมาเขียนเป็นแผนผังลักษณะคำประพันธ์ของเพลงอีแซว จะมีรูปแบบดั้งนี้

 


    ทำนองเพลงอีแซว

 

     ทำนองคือเสียงที่ไม่เป็นเส้นตรงเมื่อไรที่เสียงเป็นคลื่นนั้นคือทำนอง หากจะเปรียบเทียบก็คงต้องเปรียบเทียบกับคลื่นทะเล จะดูสวยงาม หากเป็นน้ำที่นิ่งเป็นเส้นตรงก็จะไม่มีความสวยงาม โดยเสียงที่เป็นเส้นตรงนั้นหากจะเปรียบเทียบให้เข้าใจง่าย ๆ คือการพูดธรรมดา ไม่ต้องมีเสียงมีต่ำ เมื่อใดที่มีเสียงบังคับสูงต่ำ จะกลายเป็นทำนอง เพลงอีแซวนั้นมีทำนองมาจากเพลงแหล่ ทำนองเพลงอีแซวนั้น ในแต่ละวงเพลงอีแซวจะร้องไม่เหมือนกัน แต่มีโครงสร้างเดียวกันโดยสมัยก่อนจะร้องทำนองดังนี้ “ผมมาเทียววัดป่า  ผมจึงมาหาแม่เพลง ลูกคู่รับ เง เอ หาแม่เพลง” จะสังเกตได้ว่า การร้องรับจะไม่เหมือนในสมัยปัจจุบัน เพราะปัจจุบันจะร้องดังนี้ “ผมมาเทียววัดป่า  ผมจึงมาหาแม่เพลง ลูกคู่รับ เอิง เงอ เอ้ย หาแม่เพลง” จะเห็นได้ว่าไม่เหมือนกัน แต่โครงสร้างมีความเหมือนกันจะมีความแตกต่างกันนิดหน่อย โดยคำลงเพลงอีแซวนั้นจะต้องเป็นคำลงที่ จิก นั้นหมายความว่าจะต้องเป็นคำที่ร้องลงแล้วอีกฝ่ายจะต้องเจ็บใจ โดยเนื้อหาเพลงอีแซวจะไม่มีความหยาบคาย แต่มีความหยาบโลน หยาบโลนในที่นี้หมายถึง คำที่ร้องออกมาสามารถดิ้นได้ ให้คิดลบได้คิดบวกได้

    รูปแบบชื่อเพลงที่ใช้เรียกในการแสดงเพลงอีแซว

     ส่วนใหญ่นั้นเพลงอีแซวจะมีเนื้อหาในการร้องเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาต่าง ๆ ของสุพรรณ เช่น ประวัติอนุสรดอนเจดีย์ ประวัติจังหวัดสุพรรณบุรี ประวัติเสือใบ เสือฝ้าย เทศการต่าง ๆ จะต้องมีหัวข้อที่จะนำเพลงไปร้องแล้วจึงถึงจะเขียนเพลงออกมา โดยเพลงอีแซวมีรูปแบบในการเล่นเหมือนการภาคข่าว ไม่เหมือนกับการเล่นลิเกเพราะลิเกนั้นมีหลายทำนอง แต่เพลงอีแซวนั้นมีแค่เพียงทำนองเดียว นอกจากเราจะแยกแตกไปเล่นเพลงอื่นบ้างก็ได้ แต่เพลงอีแซวนั้นจะเป็นเพลงเน้นการเล่าเรื่อง    

    เครื่องดนตรีที่ใช้ในการประกอบจังหวะการแสดงเพลงอีแซว

        
     โดยสมัยก่อนนั้นในยุคที่อาจารย์ชำเลืองไปหัดเพลงอีแซวกับป้าอ้น เครื่องดนตรีจะมีแค่เพียงฉิ่ง และกรับเท่านั้นโดยกรับจะเป็นแค่เพียงไม้ไผ่ ไม่ได้ใช้แม่ชิงชันเหมือนในปัจจุบันกลองกับตะโพนไม่มีโดยการแสดงจะแสดงแค่เพียง 4 คนเป็นวงเล็ก หาก 8 คน จะเป็นวงใหญ่ ใน 4-8 คนนั้นจะต้องตีฉิ่งตีกรับได้ ต่อมาครูไสวท่านได้นำตะโพนมาประกอบกับจังหวะเพลงอีแซว


      ตะโพนไทยนั้นจะใช้หน้าทับในการประกอบจะหวัดเพลงอีแซวคือ หน้าทับลาวหรือเสียงที่สนุกนานดังนี้ “ติง – โจ๊ะ – ติง – ติง  ติง – ทั่ม – ติง - ทั่ม”

 


     ประกอบจังหวัดเพลงอีแซว ใช้จังหวะเร็ว หรือเรียกกันว่า ชั้นเดียว


     กรับไม้เนื้อแข็ง วีธีการตี ตีตามจังหวะลงของเสียงฉิ่ง

     ลักษณะการแต่งกายของผู้แสดงเพลงอีแซว

      ในสมัยก่อนนั้นการแต่งกายเพลงอีแซวฝ่ายหญิงจะแต่งตัวให้สวยที่สุดก็คือการแต่กายตอนไปทำบุญ ใส่เสื้อลูกไม้ ใส่สร้อยคอ เข็มขัดนาค สร้อยข้อมือ ส่วนฝ่ายชายเสื้อลายดอก โจงกระเบน ผ้าขาวม้า แต่ก่อนนั้นการแต่งการไม่ได้มีความสวยงาม แต่เนื่องจากสมัยก่อนเวลาจะบนบานสานกล่าวส่วนใหญ่ก็จะบนให้เพลงไปเล่น เมื่อเพลงอีแซวเป็นการว่าจ้างไปเล่น จึงต้องสวมเสื้อผ้าที่มีความสวยงามยิ่งขึ้นโดยกำหนวดไว้ว่า ฝ่ายหญิงจะต้องใส่โจงกระเบน เสื้อผ้าสีเข้ม ๆ ส่วนฝ่ายชายจะนุ่งกางเกงขาก๋วย ใส่เสื้อลายดอกผ้าขาวม้าขาดเอว จนผ่านมากว่า 50 ปี จึงมีการเปลี่ยนแปลงให้เสื้อผ้ามีสีสันที่สวยงามมากยิ่งขึ้น ดั้งภาพต่อไปนี้
 


    ประเภทงานที่ไปแสดง

 

     เพลงอีแซวนั้นจะนิยมไปแสดงกันในงานมหรสพต่าง ๆ เช่น งานปิดทองฝั่งลูกนิมิต งานศพ งานทำบุญขึ้นบ้านใหม่ งานแก้บน โดยสามารรถเล่นได้เกือบทุกงาน แต่จะไม่นิยมเล่นกันในงานแต่งงาน เพราะเพลงอีแซวมีเนื้อหาที่กระทบกระทั่งกัน ทำให้บ่าวสาวอาจได้ตัวอย่างที่ไม่ได้ แต่ถ้าหากวงเพลงที่มีความเข้าใจในการประพันธ์เนื้อเพลงก็สามารถประพันธ์เพลงเป็นเนื้อหาที่เกี่ยวกับการสอนคู่บ่าวสาวก็ได้ ดังนั้นเพลงอีแซวสามารถเล่นได้ทุกงาน แต่จะไม่นิยมแค่เพียงงานแต่งานเท่านั้น

รูปแบบในการแสดงเพลงพื้นบ้าน

 

     ลำดับขั้นตอนในการเล่นเพลงพื้นบ้านนั้นขั้นแรกหากเป็นงานหาหรือว่าจ้างไปเล่นจำเป็นต้องมีการไหว้ครู โดยในวงเพลงจะต้องมีพานครู ในพานนั้นจะประกอบไปด้วย บุหรีหนึ่งซอง ดอกไม้ เงินกำนนสิบสองบาท ก่อนจะทำการแสดง นักแสดงจะต้องรวมตัวกันแล้วยกพานลำลึกนึกถึงครูบาอาจารย์ แล้วทำการขึ้นแสดง บทที่จะร้องอันดับแรกคือบทไหว้ครู ไหว้บิดา มารดา
     บทที่สองคือบทดำเนินเรื่องก็จะเป็นการร้องออกตัวของนักแสดงใหม่ ๆ หากเป็นนักเพลงคนเก่าไม่ต้องร้องออกตัว
     บทที่สามจะร้องเรื่องที่เป็นประโยชน์เช่น มาในงานศพ ก็ต้องร้องให้กับเจ้าภาพว่าศพนั้นคือใคร มีคุณงามความดีอะไร ดังนั้นต้องร้องให้ตรงกับงานที่ได้ไปทำการแสดงบทที่สามจึงเป็นบทที่ยาก ถ้าหากว่านักเพลงไม่สามารถร้องด้นสดได้ ตรงนี้จะไม่สามารถเล่นได้เลย เพราะไม่สามารถเขียนเรื่องให้ทันกับงานได้ใน ณ ตอนนั้น
    บทที่สี่เป็นเรื่องที่สนุกสนานเป็นเพลงปะทะคารม ร้องแก้กันไป ร้องแก้กันมา บทที่สี่นี้จะเป็นบทที่ท่านผู้ชมชอบกันมากที่สุด
     บทที่ห้าเป็นบทสุดท้ายเป็นบทร้องลาอาลัย ขอบคุณท่านเจ้าภาพ หากมีโอกาสหน้าก็ขอให้ได้มาพบกันอีก

    เสน่ห์ของเพลงอีแซว

 

     จุดเด่นของเพลงอีแซวอยู่ที่เสียงของนักแสดงหากเสียงของนักแสดงดีผู้ชมก็อยากจะเข้ามาดูว่าใครเป็นคนร้อง หน้าตาของคนร้องเป็นอย่างไร ส่วนต่อมาคือ ลีลาในการแสดง ความพริ้วไหวของผู้แสดง รวมถึงไหวพริบของนักแสดง ไม่ว่าจะพูดอะไรร้องอะไร คนดูก็สนุก และมีอารมร่วมกับผู้แสดง สิ่งที่สำคัญคือการร้องแก้โดยที่ท่านผู้ชมก็นึกไม่ถึงว่าจะหยิบสิ่งนี้มาร้อง และคลายปมที่เกิดขึ้นได้ ดังนั้นนักเพลงอีแซวจะต้องมีไหวพริบที่ดีมาก


     กระบวนการถ่ายทอดเพลงอีแซว

     ในการสอนเพลงอีแซวในยุคปัจจุบันจำเป็นต้องสอนด้วยโน้ตสากลเท่านั้น ถามว่ามีที่ไหนสอนแบบนี้ไหม คำตอบยังไม่มี ท่านอาจารย์เคยทำผลงานทางวิชาการชื่อหัวข้อ การสอนเพลงอีแซว โดยการใช้วิธีการสอนแบบดังเดิมคือสอนปากต่อปากคำต่อคำ นักวิชาการไม่ให้นำวิธีนี้มาใช้ในการสอน โดยการสอนต้องใช้โน้ตในการสอน ท่านอาจารย์ชำเลืองจึงให้ครูที่โรงเรียนบรรหารแจ่มใสวิทยา 1 มาช่วยเขียนโน้ตเพลงอีแซวบทไหว้ครูให้ โดยบทไหว้ครู 1 หน้านั้น เขียนมาเป็นน็ตเพลงได้24 แผ่น ถ้าเพลงอีแซวเล่น 1 ชั่วโมงโน้ตเพลงจะมีประมาณ 1,000 หน้า เปรียบเทียบกับลิเกที่แสดงงานหนึ่งงานใช้เวลาเล่น 2 ชั่วโมง จะต้องใช้โน้ตเพลงกี่ลัง ทำให้เห็นได้ว่าเพลงอีแซวสอนกันด้วยตัวหนังสือ ไม่ได้สอนกันด้วยตัวโน๊ต เพราะในการแสดงเพลงอีแซว เครื่องดนตรีไม่ได้ใช้เยอะมากมาย หากจะสอนตามแบบเก่า นั้นก็คือการร้องตามกัน ก่อนจะร้องก็ตั้งเสียงกันก่อนว่าจะเอาคีย์ไหน หากต้องการที่จะแสดงเป็นอาชีพต้องมีการครอบครู โดยครูจะจับยกข้อมือทั้งสองข้างแล้วคนที่จะครอบครูก็จะต้องร้องเพลงอีแซวให้ได้หนึ่งบท หากไม่ติดขัดการครอบครูจะเสร็จสมบูรณ์ หากไม่ได้ติด ๆ ขัด ๆ ก็จะไม่สามารถครอบครูได้ ก็ต้องมาวันใหม่ ในการร้องได้นั้นคือการจำเนื้อเพลงได้ทั้งหมด จึงเรียกว่าร้องได้ การฝึกจึงก็การร้องตามครูเพลง หากผิดตรงไหนก็ค่อย ๆ แก้ไข้กันไปคำต่อคำ เพลงพื้นบ้านนั้นจะไม่มีดนตรีในการร้อง ดั้งนั้นจึงต้องมีการเกริ่นขึ้นเพลง การเกริ่นนั้นก็คือการตั้งเสียงก่อนที่จะร้องโดยเพลงอีแซวก็จะมีเกริ่นสั้น และเกริ่นยาว หรือไม่ต้องเกริ่นก็ได้ โดยการร้องเกริ่นยาวนั้นจะไม่นิยมให้คนที่เสียงไม่ดีร้องเกริ่นยาว การเกริ่นยาวจะต้องเอาคนที่เสียงดีที่สุดเท่านั้นที่จะมาร้องเกริ่นยาว เอาแค่เพียงคนเดียว โดยการร้องก็ต้องร้องคำสั้น ๆ เพื่อให้ได้คลื่นเสียงความไพเราะก่อน ให้รู้ว่าตรงนี้เสียงสูง ตรงนี้เสียงต่ำ โดยคำลงต้องเป็นอักษรต่ำ จนเมื่อเราคุ้นกับลีลาเสียง จึงจะสามารถไปร้องกับบทยาว ๆ ได้
 

    กระบวกการเรียนรู้เพลงอีแซว

 

     การที่จะฝึกเพลงอีแซวนั้นต้องถามตัวเองก่อนว่าเราเคยดูเพลงอีแซวไหม ถ้าหากว่าไม่เป็นเลยก็น้อยมากที่จะไปฝึกกับครูเพลงแล้วจะเป็นได้เพราะเพลงอีแซวนั้นฝึกยากร้องยาก สิ่งที่ต้องมีคือความอดทนเป็นอย่างมาก เพราะการฝึกนั้นต้องใช้เวลา ดั้งนั้นใจต้องรักเพลงอีแซว ต้องไปดูการแสดงเพลงอีแซว ฟังเพลงอีแซวบ่อย ๆ แล้วร้องตาม ต้องมีความสนใจเป็นอย่างมาก ถึงจะสามารถร้องเป็นเล่นได้ หากไปเล่นในงานต้องขยันที่จะไปร้องแทรกกับผู้แสดงในวงทำอย่างไรก็ได้ให้เราเป็นเนื้อเดียวกัน ดั้งนั้นต้องกล้าที่จะเล่น ต้องกล้าที่จะร้อง การเรียนรู้เพลงอีแซวนั้นต้องเป็นคนที่กล้าแสดงออกร้องไม่ดีไม่เป็นไร ขอเพียงแค่กล้าที่จะแสดงก็พอ

    ปัญหาและอุปสรรคในการสืบสานเพลงอีแซว


     ในการสืบสานเพลงอีแซวนั้นในสมัยที่อาจารย์ชำเลืองได้สอนเด็กในโรงเรียนบรรหารแจ่มใสวิทยา 1 การที่จะชวนเด็กนักเรียนมาร้องเพลงอีแซวนั้นหาได้ยากมาก โดยการตั้งวงแรก ๆ นั้นมีเด็กนักเรียนแค่เพียง 5 คน ทั้ง ๆ ที่เด็กนักเรียนโรงเรียนบรรหารแจ่มใสวิทยา 1 มีเด็กจำนวนทั้งหมด 2,000 คน แต่มีผู้สนใจแค่เพียง 5 คนกว่าจะรวมกันเป็นวงได้นั้นใช้เวลาเป็นอย่างมาก เด็กบางคนชวนมาร้องเพลงลูกทุ่ง เพลงแหล่ มาร้องได้ แต่เมื่อให้เนื้อเพลงไปกับเด็กนักเรียน เด็กคนนั้นก็หายไปเลยไม่เอาอีกเลย เพราะเพลงอีแซวนั้นต้องท่องเนื้อเพลง เด็กนักเรียนจึงไม่ชอบ พอท่องเนื้อเพลงได้แล้วก็ต้องเล่นให้ได้เป็นทีม เป็นสิ่งที่ยากมากโดยจะทำอย่างไรให้เป็นเนื้อเดียวกัน และมีความลื่นไหลเป็นเอกลักษณ์เดียวกัน เหตุผลที่เด็กรุ่นใหม่ไม่ชอบเพลงอีแซวเพราะ เพลงอีแซวนั้นเป็นเพลงชาวบ้านโดยชาวบ้านจะต้องเล่นกันในเวลาว่างเมื่อไม่ได้ทำอะไร ก็จะลุกขึ้นมาร้องรำทำเพลง แต่เด็กนักเรียนนั้นไม่มีมีเวลาว่างขนาดนั้นเพราะต้องเรียนหนังสือ เวลาว่างจึงน้อยมาก เราจึงต้องหาเวลาว่างมาซ้อม แต่เด็กส่วนใหญ่ก็จะอยากทำในสิ่งที่ตัวเองชอบในเวลาว่างจึงไม่มีใครมาชอบเพลงอีแซว แต่ชาวบ้านนั้นสามารถร้องเพลงอีแซวได้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นตอนเกี่ยวข้าว ดำนา ดั้งนั้นเพลงอีแซวคือเพลงพื้นบ้าน เพลงพื้นบ้านจึงเป็นของชาวบ้าน ไม่ใช้ของนักเรียน เพราะเด็กนักเรียนต้องมีหน้าที่ในการเรียนหนังสือ หากได้มาเล่นเพลงอีแซวในวง ก็อยู่ได้เต็มที่ 6 ปี เมื่อเรียนจบก็ต้องไปเรียนต่อในรั่วมหาลัยมีโอกาสก็แวะมาช่วยงานร้องเพลงได้เป็นบางครั่งบางคราว และในที่สุดก็ต้องหยุดเล่นไปเพราะต้องไปประกอบอาชีพของตัวเอง เช่น เป็นตำรวจ เป็นหมอ เป็นครู ปัจจัยหลาย ๆ อย่างเหล่านี้ทำให้ไม่สามารถอยู่กับเพลงอีแซวได้ตลอดเวลา ในการที่จะทำวงเพลงอีแซวได้นั้นเด็ก ๆ จะต้องมีใจรักเป็นอย่างมาก เพราะใช้เวลาฝึกประมาณ 1 ปี จะมีงานแสดงแค่เพียง 1 งาน ลงทุนขนาดนั้นแล้วเล่นงานเดียวไม่มีความคุ้มเลย แต่ในช่วงที่เพลงอีแซวโด่งดัง 1 ปี ไปเล่นงานถึงกับไม่ไหว ในการที่จะนำเด็ก ๆ มาเล่นเพลงอีแซว จำเป็นต้องคุยกับผู้ปกครองให้เข้าใจ เพราะในการแสดงในแต่ละงานเด็ก ๆ จะได้รายได้อย่างเต็มที่ และรายได้นั้นจะต้องส่งให้ถึงกับผู้ปกครอง บ้างครั้งก็มีผู้ปกครองที่ไม่อยากให้ลูกนั้นเล่นเพลงอีแซว ท่านอาจารย์ชำเลืองก็ไม่ว่าอะไร เพราะเด็กนักเรียนส่วนใหญ่ที่จะเลือกนั้นมองจากความกล้าเป็นหลัก เสียงแค่พอร้องได้ก็เพียงพอแล้ว
เพลงอีแซวตอนที่ 1 
 
เพลงอีแซวตอนที่ 2 
 
 
เพลงอีแซวตอนที่ 3

 
เพลงอีแซวตอนที่ 4

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น